ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ปรากฏว่าโควิดได้กลับมาอีกระลอกแล้ว และดูเหมือนรอบนี้จะรุนแรงขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดในวงกว้างและผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนที่มากขึ้นเร็วกว่าระลอกก่อนหน้า เห็นได้ว่าความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ
เหมือนเป็นสัจธรรมและความท้าทายที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ ทั้งในการใช้ชีวิตและในการดำเนินธุรกิจ แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือ เราจะผ่านไปได้อย่างไร และที่สำคัญ เราต้องการ์ดไม่ตก
เวลาใครต่อใครพูดถึงเรื่องวิกฤต ผู้คนก็มักจะพูดกันว่า ให้มองวิกฤตเป็นเหมือนโอกาส ซึ่งสำหรับบางคนก็อาจจะมองว่า พูดง่ายแต่ทำยาก โดยเฉพาะคนที่ต้องเผชิญกับวิกฤตในขณะนั้นแบบโดยตรงและรุนแรง
แต่เชื่อไหมว่า เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเขาได้ผ่านพ้นวิกฤตนั้น หรือวิกฤตนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว คนเหล่านั้นก็มักจะเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า วิกฤตเป็นเหมือนโอกาสให้เขาได้…ต่าง ๆ มากมาย ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ได้ปรับตัว ได้พบสิ่งใหม่ ๆ ที่สุดท้ายล้วนเป็นประโยชน์ทั้งในขณะนั้นและในอนาคตต่อไป
กะผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ และได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมมากมายจากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จแทบทุกท่าน ล้วนผ่านวิกฤตกันมาทั้งนั้น ต่างเวลาต่างสถานการณ์กันไป และเมื่อผ่านมาได้ก็สามารถกลับมาด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มากกว่าเดิมเสียอีก
ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิดเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้กันดีว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจก็คือ การที่ผู้คนในสังคมไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ต้องหลีกเลี่ยงการพบปะโดยตรงกับบุคคลอื่น ๆ ไม่ไปในที่ผู้คนพลุกพล่าน ทำให้บรรยากาศการค้า การลงทุน การจับจ่ายใช้สอยถดถอยไม่คึกคัก
อย่างไรตาม ในโลกปัจจุบันนี้ซึ่งผู้คนเริ่มหันมาสู่โลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ถือได้ว่าเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ผู้คน สังคม ผู้บริโภคมาให้ความสำคัญกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์
โดยเฉพาะการซื้อของ การช็อปปิ้ง การสั่งอาหารผ่านทางออนไลน์ที่ให้ผู้บริโภคยังสามารถจับจ่ายใช้สอยในเรื่องต่าง ๆ ได้ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ดังประโยคที่ว่าทุกอย่างสามารถสั่งได้เพียงปลายนิ้วกันเลยทีเดียว
และผู้ประกอบการธุรกิจอย่างผมก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการปรับธุรกิจให้สามารถรองรับบริการผ่านทางออนไลน์ เพื่อตอบรับความต้องการแก่ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ให้ได้ ซึ่งธุรกิจที่ปรับตัวได้รวดเร็วก็จะได้รับโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกโอกาสหนึ่งที่ผู้ประกอบการอาจจะยังไม่คุ้นเคยนัก หรืออาจจะมองข้ามไป นั่นก็คือ การหาตลาดใหม่ หรือคู่ค้าผ่านการเจรจาธุรกิจทางออนไลน์ จากที่โดยปกติมักจะคุ้นเคยกับการเจรจาหาคู่ค้าธุรกิจในแบบเดิม ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปออกบูทแสดงสินค้าในต่างประเทศ การเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ธุรกิจที่องค์กรต่าง ๆ จัดขึ้นโดยต้องเดินทางไปพบปะพูดคุยกันตามสถานที่ที่กำหนด ซึ่งในสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากโควิดเช่นนี้ก็อาจไม่สามารถทำได้
ทางบริษัท JTCARRENT ได้เล็งเห็นอุปสรรคในเรื่องนี้ และมองว่าการหาคู่ค้าหรือการหาตลาดใหม่ผ่านคู่ค้าธุรกิจก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการขายสินค้ากับผู้บริโภคโดยตรง จึงได้มีการริเริ่มจัดการ Deliver the car home ที่ช่วยให้ลูกค้าที่ต้องการเช่ารถไม่เสี่ยงโควิทไม่ต้องนั่งรถโดยสารมารับรถเอง
อีกทั้งในอนาคตอาจกลายเป็นรูปแบบใหม่ new normal ต่อไป
โดยในปีนี้ JTCARRENT ยังคงเปิดรับผู้ประกอบการเข้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะเจรจาการลูกค้าโดยตรงไม่ต้องผ่านนายหน้า
ทั้งนี้ มีบริษัทชั้นนำและรถบ้านชั้นนำกว่า 90 ราย จาก ทั่วประเทศ จึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจจะเป็นผู้ขายเข้าร่วมกิจกรรมนี้ โดยเชื่อว่าท่านจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนครับ
จากการที่จะได้มีโอกาสพูดคุย ทำความเข้าใจตลาดต่างประเทศผ่านคู่ค้าที่ได้พบ และเก็บข้อมูลทำการตลาดในโอกาสต่อไป รวมถึงโอกาสธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้น และสำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยหรือยังไม่เคยลอง อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดนะครับ
ลองสิ่งใหม่ดูบ้าง แล้วจะพบว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นได้ ท่านที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ Facebook JT CARRENt